Customer Reviews

3
น้องๆจะได้เห็นพัฒนาการของสุนัขตั้งแต่ตอนเด็กจนโต
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ที่เลือกเล่มนี้มารีวิวก็เพราะว่าที่บ้านมีสุนัขอยู่สองตัวค่ะ พ่อกับแม่ของเราได้มาตอนที่หลานของเราคลอดพอดี เจ้าสี่ขาทั้งสองตัวก็เลยกลายมาเป็นเพื่อนของหลานโดยปริยาย เรียกว่าโตมาด้วยกันเลยก็ว่าได้ ก็เลยถือโอกาสใช้หนังสือเล่มนี้สอนเจ้าตัวเล็กให้รู้จักเพื่อนสี่ขาของเค้ามากขึ้น น้องๆจะได้รู้จักสุนัขมากขั้นหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนใช้สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นพระเอกของเรื่องนะคะ รูปภาพที่เอามาใช้ประกอบก็เป็นรูปสุนัขจริงๆ ไม่ใช่รูปการ์ตูน เริ่มต้นน้องๆ จะได้รู้จักกับส่วนต่างๆของร่างกายสุนัข เช่น จมูกและลิ้นของมัน ซึ่งเป็นอวัยวะที่โดดเด่น แล้วก็จะมีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ เช่น สุนัขระบายเหงื่อยังไง ประสาทสัมผัสของสุนัขดีกว่ามนุษย์ในเรื่องอะไรบ้าง ทำไมสุนัขถึงเห่า น้องๆจะได้เห็นพัฒนาการของสุนัขตั้งแต่ตอนเด็กจนโต ในตอนที่มันเป็นเด็กก็จะได้เห็นตอนที่มันกินนมแม่ เวลามันหัดเดินออกสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัว หรือในเวลาที่พวกมันเล่นหยอกล้อกัน พัฒนาการของสุนัขในช่วงอายุต่างๆ เช่น 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี นอกจากความน่ารักของสุนัขแล้ว น้องๆจะได้สัมผัสถึงความเป็นครอบครัว ความเป็นพ่อแม่ลูก ผ่านการเรียนรู้วัฏจักรของเจ้าตูบสี่ขา ปิดท้ายด้วยความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับสุนัขสายพันธุ์อื่นๆ เล่มนี้เป็นหนังสือเล่มบางเพียง 23 หน้าเท่านั้น แต่ถือว่าได้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสุนัขดีมากๆ น้องๆอ่านแล้วอาจจะกลายเป็นผู้ที่อ่อนโยนมีเมตตาต่อเจ้าตูบสี่ขามากขึ้นแน่นอน
4
คนแต่งนิทานเรื่องนี้ไอเดียสุดยอดไปเลยจริงๆค่ะ แต่งได้แบบน่ารักมากๆ อ่านสนุกดี ตัวละครก็น่ารัก
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เราอยากจะบอกว่าคนแต่งนิทานเรื่องนี้ไอเดียสุดยอดไปเลยจริงๆค่ะ แต่งได้แบบน่ารักมากๆ อ่านสนุกดี ตัวละครก็น่ารัก สำหรับเราให้คะแนนเต็ม 10 เลย ร้านของชิป เป็นนิทานที่จะช่วยกระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นนักประดิษฐ์ที่มีอยู่ในตัวน้องๆ ชิปไม่มีอะไรทำ จนวันหนึ่งเค้าได้รับคำแนะนำจากฮาร์วีย์ให้เปิดร้านสารพัดช่าง รับซ่อมทุกอย่าง แต่ดูเหมือนว่าชิปจะเป็นช่างที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย เพราะไม่ว่าลูกค้าจะเอาอะไรมาซ่อม ชิปก็ไม่เคยจะซ่อมได้ กลับเปลี่ยนของของลูกค้าไปเป็นอีกอย่างหนึ่งซะงั้น อย่างเช่น ซ่อมเสื้อคลุมให้กลายเป็นผ้าพันคอ ซ่อมที่รองรีดผ้าให้กลายเป็นเสก็ตบอร์ด หรือแม้กระทั่งซ่อมท่อประปาให้กลายเป็นแจกันดอกไม้ จนชิปต้องเขียนป้ายยกเว้นไว้เลยว่าตัวเองซ่อมอะไรไม่ได้บ้าง ทั้งๆที่เป็นร้านสารพัดช่าง 555 จนในที่สุดก็ไม่มีลูกค้ามาเข้าร้านของชิปเลย แต่ด้วยความที่มีของเหลือใช้เต็มไปหมด ชิปก็ได้ไอเดียในการนำของเหล่านั้นมาประดิษฐ์เป็นเรือล่องไปเที่ยวอย่างสนุกสนานกับฮาร์วีย์ ที่บอกว่าเป็นนิทานส่งเสริมจินตนาการก็เพราะแบบนี้แหล่ะค่ะ บางทีหนูๆน้องๆอาจจะไม่ใช่คนเก่งมากมาย ทำอะไรก็ไม่เป็นซักอย่าง แต่ถ้าน้องๆมีไอเดียมีความคิดสร้างสรรค์ก็สามารถนำวัสดุสิ่งของที่เหลือใช้ที่ไม่มีประโยชน์มาประดิษฐ์ให้กลายเป็นของที่มีประโยชน์ได้เหมือนเช่นเดียวกับชิปและฮาร์วีย์ ถ้าจะลองทดสอบจินตนาการของลูกๆหลานๆ ก็อาจจะลองถามเค้าดูก็ได้ว่าถ้าเป็นชิป จะซ่อมวัสดุสิ่งของเหลือใช้เหล่านั้นออกมาเป็นอะไร เกือบลืมไปว่าน้องๆ จะได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษจากนิทานเรื่องนี้ด้วยนะคะ
3
นิทานเรื่องนี้ภาพสวย ออกแนวโลกอนาคตนะคะ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยค่ะว่านิทานเรื่องนี้ภาพสวย ออกแนวโลกอนาคตนะคะอาจจะดูแปลกตาไปสักหน่อย ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างความสนุกของเรื่องกับความโดดเด่นของภาพ เราขอให้คะแนนความสนุกมากกว่าละกัน ถึงแม้เจ้าตัวเล็กจะชอบการ์ตูนในเรื่องอยู่ก็ตาม ราอูล เป็นนักบินอวกาศผู้มีชื่อเสียง เชี่ยวชาญการท่องอวกาศและสำรวจดาวต่างๆ มาแล้วมากมาย เค้าเตรียมตัวเป็นนักบินอวกาศตั้งแต่ยังเด็ก เค้าได้รับมอบหมายภารกิจส่งสาส์นเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งอาศัยอยู่ในกาแล็กซี่ที่ไม่เคยไปมาก่อน เค้าต้องผจญภัยและเจอกับอุปสรรคจนกว่าจะถึงที่หมาย ดาวเคราะห์แต่ละดวงที่ราอูลไปเยือนมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น สิ่งที่น้องๆ จะได้จากนิทานเรื่องนี้ก็คือ จินตนาการค่ะ ดาวเคราะห์แต่ละดวงมีเหตุการณ์แตกต่างกันไป เด็กๆจะตื่นเต้นเวลาที่ราอูลไปเยือนดาวแต่ละดวง ถามว่านอกจากเรื่องจินตนาการแล้วน้องๆจะได้เรื่องอะไรอีก เราคิดว่ายังไม่มีอะไรพิเศษสำหรับนิทานเล่มนี้ในแง่ของเนื้อเรื่องนะคะ เอาเป็นว่าอ่านให้น้องๆฟังหรือให้น้องๆอ่านสนุกๆ เพลินๆ ไปก็คงพอแล้ว บางทีเค้าอาจได้จินตนาการหรือแรงบันดาลใจใหม่ๆ ขึ้นมาก็ได้ ใครจะรู้ว่านิทานเรื่องนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ อยากเป็นนักบินอวกาศเหมือนอย่างราอูลก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็สุดยอดเลยค่ะ ด้วยราคา 95 บาทสำหรับเล่มนี้เราว่าคุ้มค่านะคะ รับประกันโดยคุณหลานที่ตอนนี้กำลังอ้อนอยากได้ชุดนักบินอวกาศแบบราอูล
3
จากการสังเกตเจ้าตัวเล็กว่าเค้าสนุกทุกครั้งที่ได้อ่านและทดลองทำอะไรแบบนี้
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เราคิดว่าวิธีการที่จะสอนให้เด็กๆ รู้จักวิทยาศาสตร์ที่ได้ผลมากที่สุดก็คือ การสอนจากนิทานหรือการ์ตูนนี่ล่ะค่ะ เพราะด้วยวิธีการสอนแบบนี้เด็กๆ จะได้เห็นภาพ เห็นเพื่อนที่เป็นตัวการ์ตูนว่ากำลังทำอะไร รู้สึกอยากจะทำตามเพื่อนๆ และสนุกที่จะทำตาม เป็นวิธีการเปลี่ยนเรื่องที่น่าเบื่อให้เข้าใจง่ายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่ได้ผลที่สุด อันนี้ไม่ได้คิดเอาเองนะคะ แต่เกิดจากการสังเกตเจ้าตัวเล็กว่าเค้าสนุกทุกครั้งที่ได้อ่านและทดลองทำอะไรแบบนี้ เราคืออะไร เป็นหนังสือในหนังสือชุดเน้นกระบวนการเรียนรู้จากการแก้ปัญหาที่สงสัย หมายความว่า เด็กๆ มักจะมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องรอบตัวอยู่เสมอ(รวมถึงเรื่องเงา) การอธิบายแบบตรงๆให้เค้าเข้าใจก็อาจจะเป็นเรื่องยากเกินไป วิธีการที่ดีกว่าก็คือ การเปิดโอกาสให้เค้าได้ลงมือทดลองเพื่อตอบคำถามหรือข้อสงสัยของเค้าด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างง่ายๆเลย ถ้าเด็กๆถามว่าเงาคืออะไร สมมติผู้ใหญ่อธิบายว่าเงาคือรูปร่างที่ปรากฏขึ้นขวางกับทางเดินของแสง ผู้อ่านคิดว่าเด็กจะงงกันไหมคะ วิธีการอธิบายความหมายว่าเงาคืออะไรที่ง่ายกว่าก็คือ ทำให้ดูซะเลย เด็กๆแค่ตัดกระดาษเป็นรูปเป็ดแล้วเอาไฟฉายส่องก็จะเห็นเงาที่มีรูปร่างเหมือนเป็ดเลย เป็นการอธิบายความหมายของเงาในแบบที่แทบจะไม่ต้องใช้ตัวหนังสือสักตัว เราคิดว่าเจ๋งดีค่ะ ในนิทานก็ไม่ใช่จะมีคำอธิบายนะคะ คำอธิบายก็ยังคงมีอยู่ เพียงมีการทดลองมาประกอบ ซึ่งทำให้น้องๆ เข้าใจความหมายได้ง่ายมากยิ่งขึ้นค่ะ
3
นอกจากจะได้ปลูกฝังให้น้องๆ รักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังได้ฝึกให้น้องๆใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผู้เขียนบอกว่า มลภาวะนี่จะจัดการได้ง่ายๆ จริงไหมนะ หรือว่าจ้อยจะต้องเลือกระหว่างสิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้ชีวิตสบายขึ้นกับธรรมชาติอันสวยงามรอบๆตัว นิทานเรื่องนี้ต้องการบอกให้น้องๆ ว่า ถ้าการสร้างสิ่งประดิษฐ์ทำให้ชีวิตสบายขึ้นมันทำให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม น้องๆก็ต้องเลือกที่จะไม่ทำสิ่งนั้น ต้องเลือกการรักษาสิ่งแวดล้อมให้สวยงามเอาไว้ก่อน ก็เป็นนิทานที่ต้องการปลูกฝังให้น้องๆ รักธรรมชาติ รักโลก รักสิ่งแวดล้อม ตัวละคร จ้อย ในนิทานพยายามทุกวิถีทางในการกำจัดมลพิษที่เกิดจากสิ่งประดิษฐ์ของเขา แต่ไม่ว่าเค้าจะใช้วิธีใดก็ตาม เจ้ามลพิษก็จะกลับมาทำลายจ้อยและสิ่งแวดล้อมอยู่ดี ที่จ้อยคิดว่าการกำจัดมลพิษไม่มีปัญหาก็เป็นความเข้าใจที่ผิดๆ น้องๆ อ่านเล่มนี้ก็จะเข้าใจง่ายค่ะ ไม่มีอะไรซับซ้อนแต่หลานก็ถามเราหลังจากที่อ่านเล่มนี้ให้เค้าฟังว่า แล้วเราจะทำยังไงดีเพราะตอนนี้มีสิ่งประดิษฐ์มากมายที่สร้างมลภาวะให้กับสิ่งแวดล้อมเต็มไปหมด เราเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน ได้แต่บอกไปว่าเราต้องหาวิธีการอื่นๆ มาช่วยลดมลพิษให้น้อยลงแทน อย่างเช่น การปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น การรีไซเคิลขยะ เป็นต้น เล่มนี้ก็เป็นเล่มหนึ่งที่เราคิดว่านอกจากจะได้ปลูกฝังให้น้องๆ รักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังได้ฝึกให้น้องๆใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย นอกจากจะอ่านให้น้องๆฟังอย่างเดียวแล้ว ยังสามารถช่วยกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวได้โดยคุณพ่อคุณแม่พาลูกๆหลานๆ ไปปลูกต้นไม้ด้วยกันก็เป็นเรื่องดีค่ะ จะได้ปลูกจิตสำนึกให้น้องๆเป็นคนรักโลก รักสิ่งแวดล้อมได้อีกทางหนึ่งด้วย
4
เป็นนิทานที่ได้ประโยชน์ทั้งเรื่องของการเสริมสร้างจินตนาการและการปลูกฝังคุณธรรม
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หนังสือเล่มนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งที่เราชอบมากๆ ชอบวิธีที่ผู้เขียนใช้ ชอบเทคนิค ชอบจิตวิทยาที่ผู้เขียนใช้ในการสื่อสารกับเด็ก หนูจอมป่วน เป็นเรื่องราวของปีเตอร์ เด็กน้อยจอมซนที่ชอบขีดเขียนวาดโน่นวาดนี่จนเต็มฝาผนังไปหมด ผลจากความซุกซนของปีเตอร์ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมา สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกซนแบบปีเตอร์ คงต้องรีบหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านให้ลูกๆฟังแล้วล่ะค่ะ เรารับประกันเลยว่าเราใช้ได้ผลจริงๆเพราะหลานเราก็ค่อนข้างซนใช่ย่อยเลย 555 แต่หลังจากที่หลานเราได้ฟังนิทานเรื่องนี้จากเราก็เลิกขีดเขียนผนังห้องไปทันที ที่นิทานเล่มนี้ใช้กับหลานเราได้ผลเราคิดว่าน่าจะมาจากการที่ผู้เขียนเข้าใจเด็กๆ และใช้ประสบการณ์จริงของเด็กมาเล่าเรื่องที่ทำให้เข้าถึงภายในความคิดของเค้า พอเข้าถึงจิตใจน้องๆได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสอดแทรกแง่คิดหรือจะสอนเรื่องต่างๆให้เค้าเข้าใจ ในตอนแรกๆของนิทาน น้องๆ จะได้ใช้จินตนาการไปตามตัวการ์ตูนปีเตอร์ น้องๆ จะได้เห็นภาพวาดของตัวเองที่คุ้นเคยเป็นการเปิดใจ หลังจากนั้นเมื่อความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นกับสิ่งที่น้องๆวาด น้องๆก็จะเริ่มเห็นโทษของมันและจะเริ่มคิดว่าตัวเองไม่ควรทำแบบนั้นเลย จากนั้นผู้เขียนเค้าก็จะสรุปว่าพฤติกรรมของการเป็นเด็กดีของพ่อแม่นั้นควรต้องทำยังไง ควรต้องเป็นเด็กเรียบร้อย มีความเป็นระเบียบ ไม่ก่อความวุ่นวาย เชื่อฟังคุณครู รักษาสิ่งแวดล้อมส่วนรวมให้สะอาด รู้จักขอโทษเมื่อตัวเองทำผิด เป็นนิทานที่ได้ประโยชน์ทั้งเรื่องของการเสริมสร้างจินตนาการและการปลูกฝังคุณธรรม
3
นิทานเรื่องนี้ต้องการสอนให้น้องๆ ได้มีความคิดที่จะอยากเปิดหูเปิดตาตัวเอง มีความกล้าที่จะพบเจอสิ่งใหม่ๆ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สำหรับนิทานเรื่องจิงโจ้น้อยติดแม่เล่มนี้เป็นนิทานในชุดสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตและได้รับรางวัลหนังสือภาพยอดเยี่ยมของเนเธอแลนด์ในปี 2007 อีกด้วย ต้องยอมรับเลยว่าตอนอ่านนิทานเรื่องนี้แรกๆ ก็งงเลยค่ะ ว่าคนแต่งเค้าต้องการจะสื่ออะไร (555 สมองเราคงอายุประมาณเด็ก 5 ขวบ) เพราะว่าเจ้าจิงโจ้น้อยที่เป็นตัวเอกของเรื่องไม่ยอมไปไหนเลย อยากจะอยู่ที่กระเป๋าหน้าท้องของแม่ตลอดเวลาทั้งๆ ที่แม่ก็พาไปเจอนั่นเจอนี่ที่น่าสนใจเยอะแยะไปหมด จนท้ายที่สุดเจ้าจิงโจ้ได้ไปเจอเพื่อนจิงโจ้ที่กระโดดวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน จึงยอมออกจากกระเป๋าหน้าท้องของแม่เพื่อไปวิ่งเล่นท่องโลกกว้างกับเพื่อนใหม่ เข้าใจว่านิทานเรื่องนี้ต้องการสอนให้น้องๆ ได้มีความคิดที่จะอยากเปิดหูเปิดตาตัวเอง มีความกล้าที่จะพบเจอสิ่งใหม่ๆ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ไม่ใช่จะอยู่ในอ้อมอกของแม่ตลอดเวลา ตอนแรกที่อ่านให้หลานฟังก็กลัวเค้าจะไม่เข้าใจ ไม่ชอบ แต่ตรงกันข้ามเลยค่ะ เค้าบอกว่าสนุกดีและอยากเป็นเหมือนเจ้าจิงโจ้น้อย รบเร้าให้เราพาไปดูนู่นดูนี่เหมือนที่แม่จิงโจ้พาลูกของมันไปดู ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าแค่จิงโจ้สองตัวแม่ลูกจะทำให้คุณหลานซึ่งจัดว่าเป็นเด็กขี้อายติดแม่คนหนึ่ง อยากจะออกไปเล่นนอกบ้านกับเพื่อนๆ หลังจากได้ฟังนิทานเล่มนี้ สำหรับเด็กคนอื่นที่เป็นเด็กขี้อาย อ่านแล้วก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่าจะเป็นเหมือนคุณหลานหรือเปล่า แต่แนะนำให้ลองดูค่ะ เล่มนี้ให้ 10 คะแนนเต็ม
2
ตัวเนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไร เป็นแค่การพูดคุยถามตอบกันไปมา
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ดอกทานตะวันมาจากไหน เป็นนิทานที่จะสอนน้องๆ ให้รู้จักการเจริญเติบโตของพืช เป็นนิทานที่เหมาะกับน้องๆ อายุระหว่าง 3-8 ปี อ่านเองหรือจะให้คุณพ่อคุณแม่อ่านให้ฟังก็ได้ เล่มนี้เป็นเล่มที่เราอ่านให้หลานฟังเล่มล่าสุด ตัวการ์ตูนแมลงเต่าทองกับหอยทากน่ารักดีค่ะ เจ้าสองตัวนี้จะคุยกัน เต่าทองก็จะคอยถาม เจ้าหอยทากก็จะคอยตอบคำถาม อ่านได้เรื่อยๆ หลานเราฟังก็งงๆ นิดหน่อย เพราะว่าเรื่องนี้จะเป็นขั้นตอนการเจริญเติบโตของดอกทานตะวันตั้งแต่ยังเป็นเมล็ด จนเติบโตเป็นต้นออกดอกสีเหลืองอร่าม ที่เค้างงก็คงเพราะเค้าไม่เคยเห็นออกทานตะวันของจริงมาก่อน ก็เลยจินตนาการไม่ถูก ตัวการ์ตูนมีไม่กี่ตัว เนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไร เป็นแค่การพูดคุยถามตอบกันไปมา เด็กๆ อาจจะเบื่อซะก่อน คุณพ่อคุณแม่ต้องใช้ตัวช่วย อาจจะเปิดรูปดอกทานตะวันในอินเทอร์เน็ตให้ลูกๆ ดูไปด้วย เค้าจะได้เห็นของจริงว่าหน้าตาเป็นยังไง เราก็ใช้วิธีนี้ หลานก็ดูสนใจมากขึ้นนิดหน่อยค่ะ ถ้าถามถึงความสนุกน่าอ่าน ขอให้ 5 เต็ม 10 แต่ถ้าเป็นเรื่องความรู้ให้ซัก 8 เต็ม 10 ละกัน นอกจากอ่านแล้วน้องๆจะได้ความรู้รอบตัวไปด้วยแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องฝึกภาษาค่ะ เพราะนิทานเล่มนี้ เป็นนิทานสองภาษา คือ ภาษาอังกฤษกับภาษาไทย ความหมายของภาษาอังกฤษอยู่ในระดับไหนเราก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เท่าที่สังเกตจากคุณหลานเค้าก็พูดศัพท์ตามที่เราอ่านออกเสียงให้ฟังได้ แต่ยังไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงจะไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยก็ได้ศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกเยอะ
3
เด็กๆก็จะได้ความรู้รอบตัวเพิ่มมากขึ้นและที่สำคัญน่าจะช่วยปลูกฝังนิสัยในเรื่องของการรักสัตว์ ไม่รังแกสัตว์เวลาพบเห็นและการมีใจรักธรรมชาติ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สำหรับ เปิดโลกอ๊บๆ ของกบสีเขียว หนังสือเรียนรู้ชีวิตของกบเล่มนี้ เราอ่านให้หลานฟังเพราะอยากจะให้หลานได้ฝึกภาษาอังกฤษเป็นหลักค่ะ เล่มนี้เป็นนิทานสองภาษาเล่มแรกๆ เลยที่อ่านให้หลานฟัง (ภาษาอังกฤษและภาษาไทย) เพราะว่าอยากให้หลานได้ฝึกพูดคำศัพท์แปลกๆใหม่ๆดูบ้าง คำศัพท์และประโยคภาษาอังกฤษในเล่มนี้ไม่ง่ายและก็ไม่ยากจนเกินไปค่ะ ส่วนเรื่องความรู้เกี่ยวกับกบสำหรับเราเป็นเรื่องรองเพราะคิดว่าอาจจะไกลตัวหลานไปซักหน่อย แต่ถ้ามองอีกมุมเด็กๆก็จะได้ความรู้รอบตัวเพิ่มมากขึ้นและที่สำคัญน่าจะช่วยปลูกฝังนิสัยในเรื่องของการรักสัตว์ ไม่รังแกสัตว์เวลาพบเห็นและการมีใจรักธรรมชาติให้กับน้องๆได้ น้องๆจะได้เรียนรู้วิวัฒนาการของกบตั้งแต่ยังเป็นลูกอ๊อดจนกระทั่งกลายเป็นกบตัวโตเต็มวัย กว่าจะโตจะต้องพบเจออุปสรรคอะไรบ้าง ตอนที่ยังเป็นลูกอ๊อดมันกินอะไรเป็นอาหาร และเมื่อโตแล้วพวกกบเหล่านี้กินอะไรเป็นอาหารกัน เป็นการเรียนรู้วัฏจักรชีวิตของกบแบบน่ารักๆ เข้าใจง่าย ได้ความรู้และสนุกไปพร้อมๆกันด้วยค่ะ คำศัพท์น่ารู้และภาพวัฏจักรการเจริญเติบโตของกบช่วยสรุปให้น้องๆ เข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ตัวหนังสือภายในเล่มมีไม่มากค่ะ ละก็ตัวใหญ่ดีทำให้อ่านง่ายด้วย ไม่น่าเบื่อ เป็นนิทานที่เด็กๆจะได้ครบทั้งความรู้เกี่ยวกับสัตว์ ความรู้ทางภาษาและการเสริมสร้างจินตนาการ ในตอนท้ายผู้เขียนแนะนำกิจกรรมเล่นเกมเที่ยวป่าให้เด็กๆ และเพื่อนแสดงเป็นสัตว์ชนิดต่างๆในป่า แล้วส่งเสียงของสัตว์นั้นๆ เพื่อให้เพื่อนทายว่าเป็นสัตว์ชนิดใด เป็นอีกเล่มที่คิดว่าคุ้มค่าคุ้มราคานะคะ อย่าพลาดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาหนังสือดีๆให้ลูกค่ะ
3
นอกจากการเรียนรู้เรื่องเสียง อีกอย่างหนึ่งที่น้องๆจะได้ก็คือ การรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีค่ะ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ลูกกระต่ายอยากได้หูใหม่ เป็นนิทานเรื่องของลูกกระต่ายตัวหนึ่งที่ไม่พอใจกับใบหูใหญ่ของตัวเอง ลูกกระตายสงสัยว่าทำไมมันต้องมีหูใหญ่ๆ แบบนั้น พ่อกระต่ายจึงพาลูกของมันออกผจญภัยเพื่อจะได้เรียนรู้ว่าหูอันใหญ่ทั้งสองข้างนั้นมีประโยชน์มากมายแค่ไหน น้องๆจะได้เรียนรู้ว่าหูทำหน้าที่อะไร เสียงของสัตว์ประเภทต่างๆเป็นยังไง มีเสียงประเภทไหนบ้าง เสียงที่ไพเราะ เสียงที่น่ารำคาญเป็นยังไง อย่างไรก็ตามน้องๆ จะเรียนรู้เรื่องเสียงได้ดีก็ต่อเมื่อได้ฟังเสียงจริงๆใช่ไหมคะ เราเลยใช้วิธีการอ่านนิทานไปแล้วก็เปิดเสียงจากโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงนั้นจริงๆ ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ อย่างเสียงของผึ้งที่ดัง หึ่งหึ่ง แบบที่ในหนังสือเขียนไว้ ความจริงก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นใช่ไหมคะ หนังสือเล่มนี้สำหรับเรามองว่าน่าจะใช้เป็นสื่อกลางเพื่อเชื่อมไปสู่สื่อประเภทอื่นๆมากกว่าค่ะ นอกจากการเรียนรู้เรื่องเสียง อีกอย่างหนึ่งที่น้องๆจะได้ก็คือ การรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีค่ะ ธรรมชาติสร้างสิ่งที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดเสมอ อย่างกระต่าย การมีหูใบใหญ่ทำให้ได้ยินเสียงชัดเจนรวมไปถึงเสียงที่มนุษย์ไม่ได้ยิน ซึ่งช่วยให้พวกมันปลอดภัยจากภัยอันตรายต่างๆมากขึ้น นอกจากเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกระต่ายแล้ว เนื่องจากเป็นนิทานสองภาษาน้องๆก็จะได้ฝึกภาษาไปในตัวด้วยค่ะ คำศัพท์ภาษาอังกฤษในเล่มนี้ไม่ยากเลย ศัพท์เฉพาะไม่ค่อยมี ส่วนใหม่จะเป็นศัพท์พื้นฐานในชีวิตระจำวันค่ะ ส่วนเกมกระต่ายไล่จับท้ายเล่มก็สนุกดีค่ะ เด็กจะได้วิ่งเล่นออกกำลังกายกับเพื่อนๆด้วย
3
นิทานเรื่องนี้จะทำให้เด็กๆกล้าเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมามากขึ้น
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สำหรับเรื่องน้องๆ ไม่อยากไปโรงเรียนคงจะเป็นปัญหาที่ทุกครอบครัวต้องประสบพบเจอแน่ๆอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละครอบครัวก็คงจะมีวิธีการจัดการกับปัญหานี้แตกต่างกันออกไป อาจจะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง สำหรับครอบครัวไหนไม่สามารถจัดการให้น้องๆ ไปโรงเรียนได้ลองดูนิทานเรื่องนี้ดูไหมคะ เจนนี่ไม่อยากไปโรงเรียน ผู้เขียนบอกว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นเหมือนคู่มือให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่จะช่วยให้เด็กๆ ไปโรงเรียนได้ เพราะนิทานเรื่องนี้จะทำให้เด็กๆ เห็นว่าโรงเรียนไม่ใช่สถานที่ที่น่ากลัวเลย ในตอนที่คุณพ่อคุณแม่อ่านนิทานให้ลูกฟัง ควรเว้นจังหวะให้ลูกๆได้บอกเล่าเรื่องราวความทุกข์และความสุขเมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียนให้ฟัง นิทานเรื่องนี้จะทำให้เด็กๆกล้าเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมามากขึ้น เจนนี่ได้มีโอกาสได้ไปที่ทำงานของคุณแม่ และได้เข้าใจว่าที่ทำงานของคุณแม่นั้นน่าเบื่อว่าที่โรงเรียนเป็นไหนๆ คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องพาลูกๆไปที่ทำงานของตัวเองจริงๆก็ได้ค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมีการพูดถึงเรื่องเพราะเหตุใดเด็กๆ จึงควรมีความสุขกับการไปโรงเรียน ทำไมเด็กจึงไม่อยากไปโรงเรียน เด็กบางคนอาจจะไม่อยากไปโรงเรียนเพราะเขามีสติปัญญาโตเกินวัย สำหรับเล่มนี้เป็นนิทานแนวจิตวิทยาที่น่าสนใจมากๆเลยค่ะ เน้นไปที่การแก้ปัญหาของน้องๆมากกว่าเรื่องการปลูกฝังคุณธรรม การเสริมสร้างจินตนาการ หรือการให้ความรู้ คุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่หรือกลัวว่าลูกๆจะไม่อยากไปโรงเรียนแนะนำให้อ่านเล่มนี้เลยบวกกับทักษะการชักจูงใจให้ลูกๆอยากไปโรงเรียนด้วยค่ะ
3
ถ้าน้องๆได้อ่านเล่มนี้บ่อยๆ แล้วได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันตอนที่อยู่ที่โรงเรียนก็จะดีมากๆ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ฉันรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน เป็นหนังสือภาพ หนึ่งในหนังสือภาพชุดรวมพลังปกป้องโลก ซึ่งมีทั้งหมด 6 เล่มด้วยกัน จุดประสงค์หลักของหนังสือภาพเล่มนี้ ก็คือการปลูกฝังให้น้องๆ ได้รู้จักการรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ซึ่งได้แก่ การรู้จักการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เช่น ไฟฟ้า(ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้งาน) น้ำประปา(ไม่เปิดน้ำทิ้งไว้) ไม่ใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน การรู้จักอุปกรณ์การเรียนที่สามารถใช้ได้นานและไม่ก่อให้เกิดพิษ ในหนังสือภาพเล่มนี้เวลาผู้เขียนจะเริ่มพูดถึงหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งก็จะใช้ภาพที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นตัวเล่าเรื่องโดยวาดเป็นภาพใหญ่ก่อน แล้วค่อยดึงเอาภาพของสิ่งที่เป็นรายละเอียดในภาพใหญ่นั้นออกมา แล้วค่อยอธิบายตามภาพเล็กๆนั้น ซึ่งประโยชน์ที่น้องๆจะได้รับจากการเขียนแบบนี้ก็คือการได้ฝึกการสังเกต ได้ฝึกการอ่านแบบสั้นๆง่ายๆ และได้ความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้น ๆ น้องๆจะไม่รู้สึกเบื่อเพราะเนื้อหาในแต่ละเรื่องนั้นไม่ยาวจนเกินไป ไม่เกิน 5 ถึง 6 บรรทัดเท่านั้นเอง แถมยังเป็นเรื่องใกล้ตัวของน้องๆ ที่เป็นนักเรียนอีก ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะเป็นชาวต่างชาติ แต่เนื้อหาที่เกี่ยวกับโรงเรียนของฝรั่งก็ไม่ได้แตกต่างจากโรงเรียนของประเทศไทยมากนัก สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ไม่มีปัญหาเลยค่ะ ถ้าน้องๆได้อ่านเล่มนี้บ่อยๆ แล้วได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันตอนที่อยู่ที่โรงเรียนก็จะดีมากๆ อยากให้ลองเอาไปเป็นคู่มือปฏิบัติที่โรงเรียนค่ะ ปิดท้ายด้วยเรื่องพจนานุกรมคำศัพท์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นการรวบรวมความหมายของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและคำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการสอนลูกๆ หลานๆ ให้รู้จักรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยค่ะ
3
นอกจากเรื่องใกล้ตัวแล้วน้องๆจะได้เรียนรู้ที่จะนึกถึงสังคมส่วนรวมด้วย
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ฉันรู้จักกินเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในหนังสือภาพชุดรวมพลังปกป้องโลก สำหรับเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องของอาหารการกิน กินแบบรักโลกต้องกินยังไง การผลิตและการกินอาหารแบบใส่ใจสิ่งแวดล้อมต้องทำยังไง ก่อนที่จะอ่านเล่มนี้ เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นหนังสือที่ยากเกินไปหรือเปล่าสำหรับเจ้าตัวเล็ก เพราะดูจากหัวข้อแล้ว ดูเป็นเรื่องใหญ่เกินตัวสำหรับเด็กหรือเปล่า แต่พออ่านจบก็คิดว่าตัวเองเข้าใจผิด เพราะจริงๆแล้วหนังสือภาพเล่มนี้พูดถึงเรื่องใกล้ตัวมากๆ เจ้ากวางเขียวพิทักษ์โลก ทำให้เด็กๆสนุกไปกับการเรียนรู้เรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่หนังสือที่มีตัวหนังสือเยอะเลย เพราะฉะนั้นอ่านง่ายเหมาะสำหรับเด็กแน่นอน เด็กๆ จะได้เห็นภาพของอาหารประเภทต่างๆ ที่พวกเค้าคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ นม เด็กๆจะได้เห็นว่าอาหารประเภทไหนบ้างที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอาหารประเภทไหนบ้างที่ดีและมีประโยชน์ วิธีการจ่ายตลาดเพื่อเลือกซื้ออาหารให้เป็น เช่น การเลือกซื้อปลา ต้องดูตัวที่ตาใส กดไม่บุ๋ม การเลือกซื้อกุ้ง หัวกุ้งต้องไม่หลุดจากตัว เป็นต้น นอกจากเรื่องใกล้ตัวแล้วน้องๆจะได้เรียนรู้ที่จะนึกถึงสังคมส่วนรวมด้วย เราจะเลี้ยงปากท้องของคนทั่วโลกได้อย่างไร เราจะผลิตอาหารที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพได้อย่างไร ถึงแม้ว่าเนื้อหาจะดูเป็นการเป็นงานไปซักหน่อย แต่ว่าไม่ใช่เรื่องที่อ่านแล้วจะปวดหัวนะคะ น้องๆ อ่านแล้วเข้าใจได้ ในตอนท้ายมีเกมหาส่วนของภาพที่หายไปให้ไว้เล่นกันด้วยค่ะ
3
มีข้อเสียหน่อยตรงที่รูปภาพประกอบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าเด็กๆ จะชอบหรือเปล่า
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การปลูกฝังให้เด็กรู้จักรักและหวงแหนสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนที่จะต้องดูแลรักษาโลกและต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปในอนาคตก็คือเด็กๆในปัจจุบันนั่นเอง เด็กในวัยนี้จึงควรได้รับการปลูกฝังให้มีจิตสำนึกในการรักธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ฉันปกป้องธรรมชาติและอนุรักษ์สัตว์และต้นไม้ เป็นหนังสือภาพ 6 เล่มชุดรวมพลังปกป้องโลก ซึ่งในเล่มนี้จะพูดถึงความหมายของธรรมชาติ มลพิษในธรรมชาติเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนทำให้เกิดมลพิษ วิธีการยับยั้งไม่ให้เกิดมลพิษในธรรมชาติ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการอาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เนื่องจากเป็นหนังสือภาพ ผู้เขียนก็จะใช้การ์ตูนน่ารักๆ ในการดำเนินเรื่องแล้วสอดแทรกความรู้ผ่านตัวการ์ตูนนั้นด้วยข้อความสั้นๆ เข้าใจง่าย เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติในด้านต่างๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ สัตว์ เทคโนโลยีของมนุษย์ที่ทำให้เกิดมลพิษ เช่น รถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น มลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ เรียกว่าได้ความรู้เบื้องต้นค่อนข้างครบเลยทีเดียว แต่ก็แอบมีข้อเสียหน่อยตรงที่รูปภาพประกอบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าเด็กๆ จะชอบหรือเปล่า อย่างหลานเราก็บอกว่าไม่ชอบการ์ตูนในเรื่อง ตอนท้ายๆจะเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม มีกิจกรรมที่ให้คุณพ่อคุณแม่ชวนน้องๆมาทำแบบทดสอบเพื่อดูว่าน้องๆมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน เสียดายที่แบบทดสอบมีแค่ 4 ข้อเอง น่าจะมีเยอะกว่านี้นะคะ เพราะทำแล้วสนุกดี เด็กๆ ชอบ ทำให้เด็กได้ฝึกการตอบคำถามและแสดงความคิดเห็นด้วยค่ะ
3
เป็นนิทานน่ารักๆแนวครอบครัวค่ะ
โดย: moobig วันที่เขียนรีวิว: 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เบลล่าไปวัด เป็นนิทานสองภาษา คือภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่แต่งโดยคุณหนิง ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา จีระแพทย์ พิธีกรและนักแสดงชื่อดัง ถ้าใครรู้จักคุณหนิงก็จะรู้ว่าเธอมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสำหรับคุณพ่อและคุณแม่ที่อยากให้ลูกๆ ได้ฝึกภาษาจากการอ่านนิทานรับรองว่าเล่มนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เบลล่าไปวัดก็จะบอกเล่าเรื่องราวการเตรียมตัวและการไปทำบุญที่วัดของคุณหนิงและน้องเบลล่าซึ่งเป็นลูกสาว ว่าต้องมีการเตรียมความพร้อมในการไปวัดทำบุญยังไง ที่วัดมีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง ซึ่งจะเป็นการปลูกฝังให้น้องๆรู้จักการทำบุญ รู้จักการได้ใกล้ชิดกับธรรมะกับวัด ต้องยอมรับว่าสังคมสมัยใหม่โอกาสที่คุณพ่อคุณแม่จะพาลูกๆ ไปเข้าวัดทำบุญนั้นน้อยมากๆ อาจจะด้วยข้อจำกัดของเวลาหรืออะไรก็ตาม นอกเหนือจากความรู้จากการไปทำบุญที่วัดแล้ว น้องๆก็จะได้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วยในตัว แต่สำหรับภาษาอังกฤษในเล่มนี้นั้นค่อนข้างจะยากไปซักนิดนึงสำหรับน้องๆที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางภาษามาก่อน คุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะใช้วิธีเลือกสอนคำศัพท์ง่ายที่เกี่ยวกับการทำบุญเป็นบางคำก็ได้ อย่างน้อยๆน้องๆก็จะได้รู้ว่าสิ่งของเหล่านั้นเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไร ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ หลังจากอ่านนิทานเล่มนี้จบแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะต้องพาน้องๆไปเข้าวัดทำบุญจริงๆด้วย น้องๆ ถึงจะได้ซึมซับเรื่องการทำบุญได้อย่างแท้จริง ก็เป็นนิทานน่ารักๆแนวครอบครัวที่จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องอ่านไปพร้อมๆกันกับคุณลูกนะคะ
www.batorastore.com © 2024